วันพุธที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ดาวเทียมสื่อสาร

ดาวเทียมสื่อสาร


เมื่อจรวดบรรทุกดาวเทียมทะยานไปถึงจุดวงโคจรที่เตรียมปล่อยดาวเทียม ณ จุดปล่อยนี้จะต้องมีความสมดุลระหว่าง
แรงดึงดูดของโลก ที่จะคอยดึงดาวเทียมให้ตกลงสู่พื้นโลกและความเฉื่อย (Inertia) ในการเคลื่อนที่ของดาวเทียมในอวกาศ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของดาวเทียมในวงโคจรมีค่าความเร็วประมาณ 27,359 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (17,000 ไมล์ต่อชั่วโมง) เราเรียกความเร็วในการเคลื่อนที่ของดาวเทียมโดยไม่ตกสู่พื้นโลก และไม่ล่องลอยออกไปในอวกาศ เรียกว่า ความเร็ววงโคจร (Orbital velocity) ความสูงจากพื้นโลกของดาวเทียมในอวกาศมีค่าประมาณ242กิโลเมตร(150ไมล์)


 ความสำคัญของแรง และความเร็วที่กระทำกับดาวเทียม

      - ถ้าโลกไม่มีแรงโน้มถ่วงช่วยดึงดาวเทียม มันจะเคลื่อนที่ลอยออกไปในอวกาศ
      - ถ้าดาวเทียมเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วเกินไป มันจะหลุดออกไปจากเส้นทางวงโคจร ในทางกลับกัน
      - ถ้าดาวเทียมเคลื่อนที่ช้าเกินไป แรงโน้มถ่วงของโลกจะดึงดาวเทียมตกลงสู่พื้นผิวโลก   

      
ดาวเทียมที่เคลื่อนที่ในวงโคจรจะมีแรงจากที่กล่าวข้างต้นมาฉุด จนเกิดเป็น แรงฉุด(
Drag) เพื่อให้ดาวเทียมอยู่ในวงโคจรได้นาน ๆ โดยไม่ตกผ่านชั้นบรรยากาศ และถูกเผาไหม้ไปจนหมด และเพื่อไม่ให้ดาวเทียมออกไปจากเส้นทางวงโคจร จะต้องรักษาสมดุลของแรงไว้ให้ดี ในการโคจรรอบโลก
       สถานีควบคุมภาคพื้นดินจะคอยควบคุมดาวเทียมให้อยู่ในวงโคจรตลอดเวลา โดยที่ดาวเทียมจะมีระบบไอพ่นขับดัน จะจุดเครื่องยนต์จรวดไอพ่น ก็ต่อเมื่อเห็นว่าดาวเทียมเริ่มห่างไกลจากโลก (Apogee) ของวงโคจรของมัน (จุดจากระยะทางที่มากที่สุดจากโลก) และจุดเครื่องยนต์เมื่อเห็นว่าดาวเทียมเริ่มเข้าใกล้โลก (Perigee) เกินไป คอยบังคับทิศทางให้ดาวเทียมรักษาระดับและทิศทางไปตามวงโคจร เพื่อให้เป็นวงโคจรที่กลมมากตามโลกที่สุด



พื้นที่การให้บริการ ของไทยคม 5 และไทยคม 3 (78.5°E)

ฐานปล่อยจรวดที่ดีจะตั้งไว้ที่แนวเส้นหรือใกล้เส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นจุดที่โลกมีระยะเส้นรอบวงที่มากที่สุด และหมุนเร็วแรงที่สุด (ข้อน่าสังเกต: โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมแบน) อุ้ยอ้ายรอบตรงกลาง
คำถามตัวบูสต์ จะเสริมจากการปล่อยที่เส้นศูนย์สูตรได้อย่างไร? 
เรามาคิดกันอย่างคร่าว ๆ ดังนี้ เราสามารถคำนวณเส้นรอบวงของโลกโดยการคูณกันของเส้นผ่านศูนย์กลางกับค่า p(Pi:ไพp= 3.1416) เส้นผ่านศูนย์กลางของโลกที่เส้นศูนย์สูตร (D) เท่ากับ 12,753 กิโลเมตร (7,926 ไมล์)
                                   เส้นรอบวงของโลกที่เส้นศูนย์สูตร p x D
                = 3.1416 x 12,753 km
40,065 km
ดังนั้น เส้นรอบวงของโลกที่เส้นศูนย์สูตร มีค่า 40,065 กิโลเมตร (24,900 ไมล์)  
โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบใช้เวลา 24 ชั่วโมง
ความเร็วการหมุนของโลก เส้นรอบวงของโลกหารด้วยเวลาโลกหมุนรอบตัวเอง
         40,065 km/24hr
  = 1669 km/hr
 ณ จุดหนึ่งบนพื้นผิวโลกที่เส้นศูนย์สูตร จะมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 1,669 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (1,038 ไมล์ต่อชั่วโมง) (ตลอดเวลาเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 1,669 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเชียวนะ!!) ฐานปล่อยยานอวกาศฐานหนึ่งได้แก่ ฐานปล่อยจรวดที่แหลมคานาเวรอล (Canaveral) รัฐฟลอริดา (Florida) สหรัฐอเมริกา จะมีความเร็วของโลกค่านี้อยู่ที่เหมาะในการปล่อยยานอวกาศ โดยไม่จำเป็นต้องเสริมตัวบูสต์ขนาดใหญ่มาก แต่จะใช้ความเร็วในการหมุนตัวของโลกเข้าช่วย

-                   มิเตอร์วัดความเร่ง (Accelerometers) ซึ่งตั้งอยู่ในวงแหวนอยู่กับที่ ในแกนไจโรสโคป อยู่ในทิศทางที่เหมือนกัน ไจโรสโคปจะเสถียร ตั้งอยู่บนแท่นที่บรรจุมิเตอร์วัดความเร่ง การเปลี่ยนแปลงความเร่งในแนวแกน 3 แกน ทำให้รู้ถึงทิศทางอย่างแน่ชัดที่จรวดถูกปล่อยไป และทราบถึงความเร่งของจรวดในขณะที่บินอยู่

ระบบ KU Band และ C Band

ระบบ KU Band และ C Band



ระบบ KU Band และ C Band

 ระบบ KU-Band จะส่งคลื่นความถี่กลับมายังโลกในช่วงความถี่ 10-12 GHz สัญญาณที่ส่งครอบคลุมพื้นที่ได้น้อย ใช้กับการส่งสัญญาณภายในประเทศ ส่วนใหญ่ใช้กับระบบการให้บริการ เคเบิ้ลทีวี ภายในประเทศ ความเข้มสัญญาณจะสูง จึงใช้จานขนาดเล็ก 35-75 ซม.


รูปภาพ KU-Band

ความถี่ 
       - จานแดง TRUE จะใช้หัว LNB ความถี่ 11300 
- จานสีเทา TRUE UBC จะใช้หัว LNB ความถี่ 11300 หรือ 10750
- จานสีดำ PSI OK จานเล็กทึบ จะใช้หัว LNB ความถี่ 10750
- จานสีเทา,น้ำเงิน SAMART จะใช้หัว LNB ความถี่เป็น 10750 และต้องเปิดสัญญาณ 22 K ด้วย            หรือ Universal
- จานสีส้ม IPM จะใช้หัว LNB ความถี่เป็น Universal และต้องหันจานไปรับดาวเทียมไทยคม 5
- จานสีเหลือง DTV จะใช้หัว LNB ความถี่เป็น 11300,10750, Universal  และ 10600
ความถี่ที่ใช้ในการ OTA และช่อง RS SPORT LA LIGA คือ 12313/H/30000 สำหรับ KU-band          และ 3880/V/30000 สำหรับ C-Band
หน้าจานหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่ 240 องศา(มุมกวาด) มุมก้มเงย 60 องศา สาย              สัญญาณที่ต่อเข้ากับหัวLNB จะต้องหันออกมาทาง 4 นาฬิกา

ระบบ C - Band จะส่งคลื่นความถี่กลับมายังโลกในช่วงความถี่ 3.4-4.2 GHz แบบนี้จะมีฟุตปริ้นกว้างสามารถส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้หลายประเทศ ซึ่งสัญญาณดาวเทียมที่รับได้ จากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบนี้ แต่เนื่องจากสัญญาณครอบคลุมพื้นที่กว้าง ความเข้มสัญญาณจะต่ำ จึงต้องใช้จานขนาด 4-10 ฟุต รับสัญญาณ ภาพจึงจะชัด (รายการส่วนใหญ่เป็นฟรีทีวีของแต่ละประเทศ และส่วนมากสามารถรับชมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน )

รูปภาพ จานดาวเทียม C- Band

LNB คืออะไร

LNB คืออะไร

LNB (Low Noise Block down Converter)
       คืออุปกรณ์ขยายสํญญาณรบกวนต่ำ เป็นภาคขยายสํญญาณความถี่วิทยุ (RF Amplifier) ที่มีLNA:Low Noise Amplifier อยู่ภายใน จะทำหน้าที่รับและขยายสัญญาณที่รับมาจากหน้าจานดาวเทียมและควบคุมระดับสัญญาณรบกวน Noise ให้มีค่าน้อยที่สุด จากนั้นจะทำการส่งผ่านภาคแปลงความถี่ให้ต่ำลง Down Converter เช่นแปลงความถี่ย่าน C-Band จาก3.7-4.2 GHzให้เหลือ 950-2050 MHz จึงจะสามารถส่งผ่านไปกับสายสํญญาณ RG6U ไปยังเครื่องรับได้
LNB มี 2 ประเภท
          LNB C-Band
          LNB KU-Band มี 2 แบบ
          แบบยูนิเวอร์แซลความถี่ 9750-10600 MHz
          แบบมาตรฐานความถี่ 11300 MHz

การเลือกใช้แบบไหนกับดาวดวงใดมีสูตรดังนี้
        ใช้ความถี่ช่องที่ต้องการดูเช่นดาวเทียม Nss6 ku ช่อง ASTV ความถี่ 11635 - ความถี่LNB 10600 = 1035 MHz หากใช้ความถี่ 11635 - ความถี่LNB แบบมาตรฐาน 11300 ก็จะได้ 11635-11300 =335 MHz ค่าความถี่ที่จะได้ต้องอยู่ที่ตัวเลข 950 -2150 MHz เท่านั้น หัวรับแบบยูนิเวอร์แซลมีขอดีอีกอย่างคือสามารถรับความถี่ย่านสูงได้แบบนี้ มีวงจร Local Oscillator อยู่ 2 ชุด เพื่อให้รับสัญญาณได้ทั้ง 2 ช่วงความถี่ โดยมีวงจร โทนความถี่ 22 Kเป็นตัวควบคุม ซึ่งความถี่ 22 K นี้ จะส่งจากเครื่องรับดาวเทียม โดยผสมสัญญาณไปกับไฟเลี้ยง LNBหากมีสัญญาณความถี่ 22 K สวิตซ์ ที่ควบคุมด้วยความถี่ จะสั่งงานให้ Local Oscillator ในย่าน high band ทำงาน หากไม่มีี่สัญญาณ 22 K ส่งไปที่ LNB สวิตซ์ ที่ควบคุมความถี่ จะสั่งงานให้ Local Oscillator ในย่าน low band ทำงานแทนเช่นกัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิตหัวรับแบบ C/KU ออกมาจำหน่ายและง่ายต่อการใช้งานกับจานC-Band รับได้2ระบบในดาวดวงเดียวกัน หรือใช้กับจานแบบหมุนหรือเรียกอย่างว่าจานมูฟ


วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เรื่องที่3

 ISP คืออะไร ทำหน้าที่อะไร
 จากที่ได้เกริ่นมาแล้วเบื้องต้นถึงหน้าที่บ้างส่วนของ ISP แล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่า ISP คืออะไร ISP ย่อมาจากคำว่าInternet  Service Provider ซึ่งเป็นหน่วยงานและองค์กรที่ให้บริการการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อาทิเช่น เมื่อเราเรียกเปิดใช้งานเ  เว็บไซต์หนึ่งเว็บไซต์ คำสั่งที่เราร้องขอจะผ่านเข้าไปยัง ISP เพื่อให้ ISP ช่วยเชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ที่เราต้องการ ข้อดีของการ  มีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหลาย ๆค่ายนั้นก็คือ จะสามารถทำให้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในประเทศนั้นสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้เร็ว  ขึ้น เพราะมีการแข่งขันด้านความเร็วนอกจากนั้นผู้ใช้งานยังสามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่ถูกลงด้วยเนื่องจากมีการ  แข่งขันด้านราคาและเทคโนโลยีอยู่เสมอ
ISP
รูปแบบการให้บริการของ ISP
เมื่อเทียบกับสมัยที่ประเทศไทยเริ่มมีอินเตอร์เน็ตใช้งานครั้งแรกเรามีเพียง ISP เพียงค่ายเดียวเท่านั้นก็คือ CAT บริษัท กสท โทรคมนาคม ซึ่งในเวลานั้นทั้งความเร็วที่มีระดับต่ำและไม่ค่อยเสถียร รวมถึงราคาในการใช้อินเตอร์เน็ตก็สูงด้วย แต่หลังจากเปิดเสรีมีบริษัทเอกชนเข้ามาแข่งขันกันทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานอินเตอร์เน็ตดีขึ้นเรื่อย และราคาในการใช้งานอินเตอร์เน็ตก็ถูกลงตามไปด้วยเช่นกัน จนทุกวันนี้เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ในราคาที่ไม่แพงแล้ว
  ในประเทศไทยเราจะแบ่งผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) เป็น 2 ประเภทด้วยกันคือ
 1. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ ( Commercial ISP) ซึ่งจะมีอยู่หลายค่ายด้วยกัน เราสามารถแบ่งเป็นค่าย ๆได้ดังนี้
 1.1 ชมะนันท์เวิล์ดเน็ต (CMN)
 1.2 เคเอสซี คอมเมอร์เชียล อินเทอร์เน็ต (KSC)
 1.3 ริช คอมมูนิเคชั่นส์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) Reach (TH)
 1.4 จัสมินอินเทอร์เน็ต (JI-Net)
 1.5 ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CS Loxinfo)
 1.6 ดาต้าลายไทย (Dataline)
 1.7 ฟาร์อิสท์ อินเทอร์เน็ต( Far East )
 1.8 รอยเน็ท อินเทอร์เน็ต (Roy-Net)
 1.9 แปซิฟิค อินเทอร์เน็ต (world net -Pacific Internet )
 1.10 อินเทอร์เน็ต เซอร์วิส โพรวายเดอร์( ISSP)
 1.11 สามารถอินโฟเน็ต (Samart)
 1.12 อินเทอร์เน็ตประเทศไทย (Internet Thailand-INET)
 1.13 อี่ซี่ เน็ต (E-Z Net)
 1.14 เอเชีย อินโฟเน็ท (True internet)( Asia InfoNet)
 1.15 เอ-เน็ต (A-Net)
 1.16 ไอเดียเน็ต (IdeaNet)
 1.17 ไออีซี อินเทอร์เน็ต (Asia Access)
 1.18 บริษัท กสท โทรคมนาคม (CAT)
 1.19 บริษัท โปรอิมเมจ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอมมูนิเคชั่น (PROEN)
 1.20 บริษัท แพคเน็ท อินเทอร์เน็ต (ประเทศไทย) จำกัด (PACNET)
 1.21 บริษัท บีบี บรอดแบนด์ จำกัด
 1.22 บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
 1.23 บริษัท เอ็น ที ที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด
 1.24 บริษัท มิลคอม ซิสเต็มซ์ จำกัด
 1.25 บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด
 1.26 บริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไครเบอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด
 รายชื่อบริษัทนี้เป็นผู้ให้บริการ ISP ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ โดยจะต้องเสียค่า  บริการในการใช้งานเป็นรายชั่วโมง รายวัน และรายเดือนซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้งานตามลักษณะความต้องการในการใช้  งานอินเตอร์เน็ต
 2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและหน่วยงานของรัฐ (non-commercial ISP ) มีรายชื่อดังต่อไปนี้
 2.1 เครือข่ายไทยสาร (ThaiSarn)
 2.2 เครือข่ายคนไทย (Khonthai )
 2.3 เครือข่ายพับเน็ต (PubNet )
 2.4 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)
 2.5 เครือข่ายยูนิเน็ต (UniNet )
 2.6 สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (GITS)
ผู้ให้บริการประเภทที่สองนี้ส่วนมากแล้วจะไม่แสวงหากำไรจะให้ใช้งานอินเตอร์เน็ตโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่ที่สำคัญการใช้งานอินเตอร์เน็ตประเภทนี้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเท่านั้นถึงจะใช้งานได้ อาทิ ต้องใช้ในสถานศึกษาหรือเป็นนักศึกษาที่เรียนอยู่ในสถานศึกษานั้นถึงจะใช้อินเตอร์เน็ตได้เป็นต้น
ประเภทการให้บริการของ ISP มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
1. Narrow band เป็นการเชื่อมต่อผ่านสายโทรศัพท์ซึ่งจะมีความเร็วประมาณ 56 Kbps การเชื่อมต่อกับ ISP ประเภทนี้จะต้องดูว่า โมเด็มที่ใช้งานสามารถเชื่อมต่อหรือเป็นประเภทเดียวกับ ISP ด้วยหรือไม่เพราะ ISP แต่ละรายการจะมีหมายเลขโทรศัพท์หลายหมายเลขด้วยกัน ซึ่งแต่ละหมายเลขจะใช้สำหรับโมเด็มที่มีความเร็วและมาตรฐานที่แตกต่างกัน
2. Broadband ซึ่งเป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในปัจจุบันซึ่งการเชื่อมต่อกับ ISP จะเป็นการเชื่อมต่อโดยตรง ทำให้มีความเร็วในการใช้งานที่สูงขึ้น โดยผู้ให้บริการได้กำหนดมาตรฐานความเร็วในการใช้งานไว้ที่ ความเร็ว 500Kbps ไปจนถึง 2.5 Mbps ซึ่งโมเด็มที่ใช้จะเป็น ADSL MODEM ซึ่งโมเด็มประเภทนี้สามารถทำความเร็วในการส่งข้อมูลสูงถึง 6 Mbps และดาว์โหลดจะมีความเร็วในการดาว์โหลดที่สูงกว่า 6 Mbps
ISP
Broadband Internet รูปแบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน
การเชื่อมต่อกับ ISP มีอยู่ด้วยกันหลายแบบคือ
1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในยุคแรก ซึ่งจะเชื่อมต่อผ่านสายโทนศัพท์ ระหว่างการเชื่อมต่อจะได้ยินเสียงสัญญาณในการต่อทุกครั้ง โดยการใช้งานการเชื่อมต่อแบบนี้จะไม่ค่อยมีความเสถียร และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 56 kbps
2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN (Internet Services Digital Network) เป็นการเชื่อมต่อที่ดีกว่าแบบ Dial Up แต่ก็ยังเป็นการเชื่อมต่อด้วยสายโทรศัพท์อยู่ แต่ความเร็วในการใช้งานจะมากกว่าพร้อมกันนั้นยังสามารถจะคุยโทรศัพท์ระหว่างการใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย
3. การเชื่อมต่อแบบ DSL (Digital Subscriber Line) เป็นการเชื่อมต่อที่เรียกได้ว่ามีความเร็วสูงกว่าการเชื่อมต่อ Dial Up และ ISDN มาก แต่ความเร็วที่ได้มาจะไม่แน่นอนซึ่งเป็นข้อเสียของการเชื่อมต่อแบบนี้
4. การเชื่อมต่อแบบ Cable TV เป็นการเชื่อมต่อที่ผ่านสายเคเบิลทีวีด้วยการส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตและสัญญาณภาพและเสียงมาพร้อมกัน การใช้งานอินเตอร์เน็ตจะสามารถใช้พร้อมกับการดูเคเบิลทีวีได้เลยแต่ข้อเสียก็คือถ้ามีผู้ใช้งานในเวลาเดียวกันมาก ๆอาจจะทำให้ความเร็วในการใช้อินเตอร์เน็ตต่ำลงไปด้วย
5. การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) การเชื่อมต่อแบบนี้จะไม่นิยมใช้งานกันเพราะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากและความเร็วในการใช้งานก็ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยเช่นกัน
สรุปแล้ว ISP หรือผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตนั้นมีความสำคัญต่อการเชื่อมต่อเครือข่ายอย่างมาก เพราะเป็นเหมือนกับประตูในการให้ข้อมูลที่เราร้องขอจากภายนอกเข้ามาแสดงยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่หรือข้อมูลที่เราส่งออกไปสามารถผ่านออกไปสู่โลกภายนอกได้ ในอนาคตเชื่อได้ว่าถ้ามีการแข่งขันระหว่าง ISP จำนวนมากก็จะทำให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ถูกลงและมีเทคโนโลยีที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน

เรื่องที่2

Protocol คืออะไร     โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้ โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
ตัวอย่างของโปรโตคอล1. โปรโตคอล HTTP หรือ Hypertext Transfer Protocol จะใช้เมื่อเรียกโปรแกรมบราวเซอร์ (Browser)2. โปรโตคอล TCP/IP หรือ Transfer Control Protocol/Internet Protocolคือเครือข่ายโปรโตคอลที่สำคัญมากที่สุด เนื่องจากเป็นโปรโตคอลที่ใช้ในระบบเครือข่าย Internet รวมทั้ง Intranet ซึ่งประกอบด้วย 2 โปรโตคอลคือ TCP และ IP3. โปรโตคอล SMTP หรือ Simple Mail Transfer Protocol คือ โปรโตคอล ที่ใช้ในการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนอกจากโปรโตคอลที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีโปรโตคอลต่างๆอีกมากมาย เช่น การโอนย้ายแฟ้มระหว่างกัน ใช้โปรโตคอลชื่อ FTPหรือ File Transfer Protocol การโอนย้ายข่าวสารระหว่างกันก็ใช้โปรโตคอลชื่อ NNP หรือ Network News Transfer Protocol และยังมีโปรโตคอลที่สำคัญสำหรับการสอบถามข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่มีประโยชน์มาก โปรโตคอลนี้มีชอว่า ICMP หรือ Internet Control Message Protocolเป็นต้น


IP Address คืออะไร ไอพี แอดเดรส คือ หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์IP Address คืออะไร ไอพี แอดเดรส คือ หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์
     IP Address ย่อมาจากคำเต็มว่า Internet Protocal Address คือ หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP ถ้าเปรียบเทียบก็คือบ้านเลขที่ของเรานั่นเอง ในระบบเครือข่าย จำเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กำหนดไว้ให้กับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการ IP ทั้งนี้เวลามีการโอนย้ายข้อมูล หรือสั่งงานใดๆ จะสามารถทราบตำแหน่งของเครื่องที่เราต้องการส่งข้อมูลไป จะได้ไม่ผิดพลาดเวลาส่งข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด  เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1  เป็นต้น  โดยหมายเลข IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีค่าไม่ซ้ำกัน สิ่งตัวเลข 4 ชุดนี้บอก คือ Network ID กับ Host ID ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า เครื่อง Computer ของเราอยู่ใน Network ไหน และเป็นเครื่องไหนใน network นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Network ID และ Host ID มีค่าเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า IP Address นั้น อยู่ใน class อะไร
     เหตุที่ต้องมีการแบ่ง class ก็เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เป็นการแบ่ง IP Address ออกเป็นหมวดหมู่นั้นเอง สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network ก็คือ bit ทางซ้ายมือสุดของตัวเลขตัวแรกของ IP Address (ที่แปลงเป็นเลขฐาน 2 แล้ว) นั่นเอง โดยที่ถ้า bit ทางซ้ายมือสุดเป็น 0 ก็จะเป็น class A ถ้าเป็น 10 ก็จะเป็น class B ถ้าเป็น 110 ก็จะเป็น class C ดังนั้น IP Address จะอยู่ใน class A ถ้าตัวเลขตัวแรกมีค่าได้ตั้งแต่ 0 ? 127 (000000002 ? 011111112) จะอยู่ใน class B ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 128 ? 191 (100000002 ? 101111112) และ จะอยู่ใน class C ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 192 - 223 (110000002 ? 110111112) มีข้อยกเว้นอยู่นิดหน่อยก็คือตัวเลข 0, 127 จะใช้ในความหมายพิเศษ จะไม่ใช้เป็น address ของ network ดังนั้น network ใน class A จะมีค่าตัวเลขตัวแรก ในช่วง 1 ? 126
     สำหรับตัวเลขตั้งแต่ 224 ขึ้นไป จะเป็น class พิเศษ  อย่างเช่น  Class D ซึ่งถูกใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast ของบาง Application และ Class E ซึ่ง Class นี้เป็น Address ที่ถูกสงวนไว้ก่อน ยังไม่ถูกใช้งานจริง ๆ  โดย Class D และ Class E นี้เป็น Class พิเศษ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในภาวะปกติ

ตัวอย่าง IP Address

- Class A ตั้งแต่ 10.xxx.xxx.xxx
- Class B ตั้งแต่ 172.16.xxx.xxx ถึง 172.31.xxx.xxx
- Class C ตั้งแต่ 192.168.0.xxx ถึง 192.168.255.xxx
     จาก IP Address เราสามารถที่จะบอก ได้คร่าวๆ ว่า computer 2 เครื่องอยู่ใน network วงเดียวกันหรือเปล่าโดยการเปรียบเทียบ Network ID ของ IP Address ถ้ามี Network ID ตรงกันก็แสดงว่าอยู่ใน network วงเดียวกัน เช่น computer เครื่องหนึ่งมี IP Address 1.2.3.4 จะอยู่ใน network วงเดียวกับอีกเครื่องหนึ่งซึ่งมี IP Address 1.100.150.200 เนื่องจากมี Network ID ตรงกันคือ 1 (class A ใช้ Network ID 1 byte)

วิธีตรวจสอบ IP Address

1. คลิกปุ่ม Start เลือก Run พิมพ์คำว่า cmd กดปุ่ม OK

คลิกปุ่ม Start เลือก Run พิมพ์คำว่า cmd กดปุ่ม OK
คลิกปุ่ม Start เลือก Run พิมพ์คำว่า cmd กดปุ่ม OK

2. จะปรากฎหน้าต่างสีดำ

จะปรากฎหน้าต่างสีดำ
จะปรากฎหน้าต่างสีดำ

3. พิมพ์คำว่า ipconfig กด enter

พิมพ์คำว่า ipconfig กด enter
พิมพ์คำว่า ipconfig กด enter

4. จะเห็นกลุ่มหมายเลข IP Address

จะเห็นกลุ่มหมายเลข IP Address
จะเห็นกลุ่มหมายเลข IP Address